search
คำค้นหายอดนิยม:
close

สงสัยว่าสัตว์เลี้ยงมีอาการแพ้อาหาร จะจัดการเรื่องอาหารอย่างไร

คุณเจ้าของเคยเห็นน้อง ๆ ที่บ้านมีอาการเกาตัวทั้งวัน ผิวหนังขึ้นผื่นแดง อยู่ไม่เป็นสุข ชอบเลียมือเลียเท้าหรือไม่? หรือบางทีอาจมีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย หรืออาเจียน อาการเหล่านี้ อาจบ่งชี้ถึงโรคภูมิแพ้อาหารก็เป็นได้ 

อาการแสดงของสุนัขและแมวเมื่อมีภาวะภูมิแพ้อาหาร มักแสดงอาการทางผิวหนัง อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ดังนั้นจะต้องมีวิธีการวินิจฉัยแยกแยะ เพื่อที่จะได้ทราบว่าอาการทางผิวหนังของน้อง ๆ นั้นมีสาเหตุมาจากอะไร 

  1. ทำการ rule out สาเหตุอื่น ๆ ที่ส่งผลให้เกิดอาการทางผิวหนังได้ เช่น ปรสิตภายนอก เชื้อรา ยีสต์ หรือแบคทีเรีย ในขั้นตอนนี้เจ้าของน้อง ๆ สามารถพาน้อง ๆ ไปตรวจผิวหนังกับสัตวแพทย์ รวมไปถึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันปรสิตภายนอกเป็นประจำ 
  2. การทดลองอาหาร (food trial) เป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้ในการวินิจฉัยภาวะภูมิแพ้อาหาร ทำได้หลายวิธี เช่น การให้อาหารที่เป็นโปรตีนขนาดเล็กที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้(hydrolyzed protein) หรือ เลือกใช้แหล่งโปรตีนใหม่และจำกัดประเภทของแหล่งโปรตีนในอาหารของน้อง ๆ อย่างเคร่งครัด 

ดังนั้น Felina Canino Single Protein จึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกอาหาร ที่นำมาใช้ในการทดลองอาหารได้เช่นกัน เพราะว่า 

  • Felina Canino Single Protein มีวัตถุดิบจากแหล่งโปรตีน 1 ชนิด ลดโอกาสเสี่ยงในการได้รับโปรตีนหลายชนิดจากอาหาร ซึ่ง 1 ในโปรตีนเหล่านั้น อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ 
  • มาพร้อมด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติที่เต็มไปด้วยสารอาหารอย่าง โอเมกา-3 DHA วิตามินและแร่ธาตุ ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวหนัง ให้ผิวหนังของน้อง ๆ แข็งแรงมากขึ้น 
  • Felina Canino Single Protein ยังมีตัวเลือกอาหารมากมาย เพื่อลดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการแพ้ หากสัตว์มีการแพ้ต่อสารกระตุ้นภูมิแพ้(allergen) ต่าง ๆ  
  • Wild caught protein: แหล่งโปรตีนจากธรรมชาติที่ช่วยลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนสารสังเคราะห์ต่าง ๆ เช่น ยาปฏิชีวนะ รวมไปถึงสีสังเคราะห์ที่อาจมีการผสมลงในอาหารเพื่อเร่งสี  
  • No antibiotics ever protein (NAE): แหล่งโปรตีนที่ผ่านกระบวนการเลี้ยงแบบไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ ลดความเสี่ยงในกลุ่มน้อง ๆ ที่แพ้ยาปฏิชีวนะ 
  • Grass-fed protein: แหล่งโปรตีนจากกระบวนการผลิตเนื้อสัตว์โดยให้สัตว์กินหญ้าเป็นหลัก อาจช่วยลดความเสี่ยงในน้อง ๆ ที่แพ้อาหารกลุ่มธัญพืช (grain allergy) ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ในกระบวนการผลิตโดยทั่วไป 

ทั้งนี้ในการวินิจฉัยภาวะภูมิแพ้อาหารควรได้รับการวินิจฉัยโดยตรงจากสัตวแพทย์ เนื่องจากการทดลองอาหารควรอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของสัตวแพทย์ และ อาการของโรคภูมิแพ้อาหารนั้นมีความคล้ายคลึงกับความผิดปกติบนผิวหนังอื่น ๆ เช่น การแพ้น้ำลายหมัด การติดเชื้อบนผิวหนัง หรือแม้กระทั่ง ภาวะภูมิแพ้ผิวหนัง(atopic dermatitis) รวมไปถึงในสัตว์เลี้ยง 1 ตัว สามารถมีความผิดปกติของผิวหนัง หลาย ๆ โรคพร้อมกันได้ จึงควรให้สัตวแพทย์พิจารณารักษาตามแต่ละสาเหตุไป 

เนื้อไก่ไร้ยาปฏิชีวนะ ทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ดีของเหล่าสัตว์เลี้ยง

การผลิตเนื้อไก่สุขภาพดี ปลอดยาปฏิชีวนะกำลังถูกรณรงค์อย่างแพร่หลายในวงกว้าง ตั้งแต่เกษตรกรรายย่อยไปถึงฟาร์มเลี้ยงไก่ รวมไปถึงองค์กรหรือหน่วยการทั้งภาครัฐและเอกชนที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ เนื่องมาจากปัญหาการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นในฟาร์มเลี้ยงสัตว์นั้นอาจจะส่งผลกระทบให้เกิดการตกค้างของยาปฏิชีวนะในเนื้อสัตว์ตามมาได้ การตกค้างของยาในเนื้อนั้นเชื่อมโยงกับสุขภาพของปศุสัตว์และผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ที่ปลอดยาปฏิชีวนะหรือ Non Antibiotic Ever-Chicken (NAE) นั้นจึงถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยต่อสุขภาพของน้องหมาน้องแมวมากขึ้น 

คำว่า ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ปลอดยาปฏิชีวนะหรือ Non Antibiotic Ever (NAE) นั้นมีความหมายว่าอะไรกันแน่นะในอุตสาหกรรมการผลิตเนื้อไก่นั้นมีการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหารของสัตว์ปีกเป็นส่วนใหญ่ โดยมีความมุ่งหวังที่จะช่วยดูแลการทำงานของ gut flora ของปศุสัตว์และทำให้สัตว์เลี้ยงในฟาร์มมีสุขภาพแข็งแรง อย่างไรก็ตามการใช้ยาปฏิชีวนะที่มากเกินจำเป็นหรือการใช้ยาปฏิชีวนะที่หลากหลายในฟาร์มอาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาดื้อยาและปัญหายาปฏิชีวนะตกค้างในเนื้อไก่ตามมาได้  

วิธีการเลี้ยงไก่แบบไม่ใช้ยาปฏิชีวนะจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคมากกว่า เพราะมั่นใจได้เลยว่าไก่ในฟาร์มที่ถูกเลี้ยงนั้นจะไม่ถูกให้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยงดู ยิ่งไปกว่านั้นยังดีต่อสุขภาพของสัตว์ที่ถูกเลี้ยงในฟาร์มอีกด้วย เพราะการไม่ใช้ยาในการเลี้ยงนั้นหมายถึงปศุสัตว์ที่ถูกเลี้ยงได้รับการดูแลใส่ใจที่มากขึ้น มีสุขอนามัยที่ได้คุณภาพ และมีการจัดการสวัสดิภาพสัตว์ที่ดี โดยผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ปลอดยาปฏิชีวนะนั้นต้องถูกแปะฉลาก NAE (Non Antibiotic Ever) เพื่อให้ผู้บริโภคทุกท่านทราบถึงความแตกต่างในการผลิต 

ถือได้ว่าเนื้อไก่ที่ถูกเลี้ยงมาแบบปลอดยาปฏิชีวนะนั้นถือเป็นเนื้อที่มีการยกระดับคุณภาพขึ้นไปอีกขึ้น เพราะนอกจากเนื้อจะมั่นใจได้ว่าสะอาด ปลอดภัย ปลอดยาตกค้าง ซึ่งดีต่อสุขภาพของน้องหมาน้องแมวที่เป็นผู้บริโภคแล้วนั้น การผลิตเนื้อไก่แบบ NAE ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของสัตว์ปีกที่ถูกเลี้ยงในฟาร์ม มีส่วนช่วยป้องกันปัญหาเชื้อดื้อยาหรือการตกค้างของยาปฏิชีวนะในเนื้อสัตว์อีกด้วย นับได้ว่าซื้อ 1 ได้ประโยชน์ถึง 2 กันเลยทีเดียว 

รู้จักเนื้อวัว Grass-Fed Beef : สุดยอดเนื้อวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้าและได้อยู่ตามธรรมชาติ

รู้หรือไม่ว่าในปัจจุบันเนื้อวัวที่นำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารนั้นถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เนื้อ Grass-Fed Beef และ Grain-Fed Beef ตามรูปแบบการเลี้ยงวัวในปัจจุบัน โดย Grain-Fed Beef คือการเลี้ยงวัวในโรงเลี้ยงที่มีพื้นที่จำกัด มีการให้วัวได้กินธัญพืชเป็นอาหารหลัก  

ในขณะที่ Grass-Fed Beef เป็นการเลี้ยงวัวแบบปล่อยทุ่งกว้างใหญ่อย่างอิสระ ได้เดินเล็มหญ้าตามใจชอบ อีกทั้งหญ้าในทุ่งหญ้านั้นยังเป็นหญ้าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติทำให้ปลอดภัยจากสารเคมีต่างๆ ทำให้เนื้อวัวแบบ Grass-Fed Beef จึงเป็นเนื้อชั้นเลิศที่อร่อยและมีข้อแตกต่างจากเนื้อวัว Grain-Fed Beef ดังต่อไปนี้ 

  1. ไขมันต่ำ โปรตีนสูง : ด้วยความที่เนื้อวัว Grass-Fed Beef ถูกเลี้ยงบนทุ่งหญ้ากว้างและมีอิสระในการเดินเล็มหญ้า ทำให้ร่างกายของวัวได้ออกกำลัง จึงมีปริมาณไขมันที่น้อยกว่า และมีโปรตีนสูง จึงดีต่อสุขภาพมากกว่าเนื้อวัวทั่วไป
  2. รสชาติเนื้ออร่อยเข้มข้น : เนื้อวัว Grass-Fed Beef ได้ชื่อว่าเป็นเนื้อที่มีรสชาติอร่อย เพราะวัวได้ออกกำลังกายและปราศจากความเครียด โดยเอกลักษณ์ของเนื้อชนิดนี้คือเนื้อจะมีสีแดงสดและไขมันมีสีเหลืองจากเม็ดสีจากหญ้าที่เรียกว่า แคโรทีน (Carotene) ซึ่งจะทำให้เนื้อมีรสชาติเฉพาะที่อร่อยมากๆ อีกทั้งการเลี้ยงแบบปล่อยทุ่งทำให้วัวได้เลือกทานหญ้าหลากหลายชนิดจึงทำให้เนื้อวัวมีรสชาติเฉพาะตัวตามแหล่งที่เลี้ยงอีกด้วย
  3. อุดมไปด้วยโอเมก้า-3 : ในไขมันสีเหลืองนวลอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเนื้อ Grass-Fed Beef มีปริมาณโอเมก้า-3 มาก ซึ่งมีส่วนช่วยลดระดับคอเสเตอรอลในกระแสเลือด ช่วยการทำงานของดวงตา หัวใจ และสมอง รวมไปถึงทำให้ขนสวยและผิวหนังสุขภาพดีอีกด้วย
  4. ปลอดภัยจากสารเคมี : พื้นที่ทุ่งหญ้าส่วนใหญ่ในการเลี้ยง Grass-Fed Beef เป็นพื้นที่ที่ให้หญ้าเกิดเองตามธรรมชาติ ทำให้มั่นใจถึงความปลอดภัยจากสารเคมีสะสมในร่างกายของวัว รวมไปถึงลดระดับความเครียดและส่งเสริมคุณภาพชีวิตวัวในระบบการเลี้ยงให้ดียิ่งขึ้นด้วย

เนื้อวัว Grass-Fed Beef จึงเป็นหนึ่งในสุดยอดแหล่งโปรตีนสำหรับน้องหมาน้องแมวโดยแท้จริง เพราะนอกจากจะรสชาติอร่อยเข้มข้นชวนดึงดูดใจแล้ว ยังโปรตีนสูง ไขมันต่ำ ดีต่อสุขภาพ แถมยังปลอดภัยจากสารเคมีอีกต่างหาก อย่าลืมให้น้องหมาน้องแมวองเราลองชิมเนื้อวัว Grass-Fed Beef ซักครั้ง แล้วรับรองว่าติดใจอย่างแน่นอน 

แชร์
share close
Go to top